วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

ตำนาน ตุ๊กตาผี รอบโลก



มีเรื่องลึกลับมากมายรอบโลก การที่คนเราสร้างตุ๊กตาขึ้นมาก็มีหลายเหตุผล เช่น ทำพิธีกรรม เป็นตัวแทนมิตรภาพยามเหงาของเด็กๆ แต่ในบางครั้งตุ๊กตาเหล่านี้ก็ผ่

ต่อมายูจีนเติบโตกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง เขาชอบทำงานในห้องใต้หลังคา โดยมีตุ๊กตาโรเบิร์ตอยู่เคียงข้างด้วย หลังจากที่ยูจีนได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ

วิญญาณผีอนาเบลล์ (ANNABELLE DOLL) ในเมืองที่สงบเงียบที่มีชื่อว่า “มอนโร” (Monroe) รัฐคอนเนกติกัต (Connecticut) มีพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง “วอเรน ออคคอล มิว

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/351384



ในที่สุดดอนนาจึงต้องยินยอมยกตุ๊กตาให้ “เอ็ด วอเรน” (Ed Warren) กับ “ลอเรน วอเรน” (Lorraine Warren) สองสามีภรรยาที่เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์วอเรน แต่ขณะที

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/351384

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/351384


10 สายพันธุ์แมว ยอดนิยมในไทย

เหมียวน้อยกลอยใจที่หลายคนเทิดทูนหลงไหล ยอมถวายตัว(และหัวใจ)ให้เป็นทูลหัวของบ่าว ต้นตอของความน่ารักใสๆนี้มีอยู่บนใบหน้าของนายน้อยเหล่านั้นแล้วล่ะ ใช่แล้ว!อยู่ที่ สายพันธุ์แมว บางสายพันธุ์ก็ขนยาวฟูนุ่มสลวยจนแทบจะเป็นแมวสวยที่สุดในโลก แต่แมวบางสายพันธุ์ที่เห็นขนสั้นๆกลับทำกระเป๋าตังค์ทาสถึงกับสั่น เพราะดันเป็นแมวที่แพงที่สุดในโลกซะงั้น! แน่นอนว่าเราไม่โทษแมว หรือโทษใคร จะโทษใจตัวเองที่ต้านทานความน่ารักนั้นไม่ไหว เลยเผลอใจไปรักเอง (นี่กำลังหมายถึงแมวอยู่ใช่ไหม?) ใช่! และวันนี้เราจะพาคุณๆมาทำความรู้จักกับ 10 สายพันธุ์แมว แสนน่ารักที่นิยมเลี้ยงมากที่สุดในประเทศไทย

1. แมวเปอร์เซีย (Persian)

2. แมวอเมริกัน ช๊อตแฮร์ (American ShortHair)

3. แมวสก็อตทิช โฟลด์ (Scottish Fold)

4. แมววิเชียรมาศ (Siamese)

5. แมวโคราช (Korat)

6. แมวขาวมณี (Khao Manee)

7. แมวบริติช ช็อตแฮร์ (British ShortHair)

8. แมวเอ็กโซติก (Exotic)

9. แมวเมนคูน (Maine Coon)

10. แมวเบงกอล (Bengal)



ที่มา  https://daily.rabbit.co.th/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7-%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1







โรคดาวน์ซินโดรม โรคทางพันธุกรรมที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจ

โรคดาวน์ซินโดรม

 โรคดาวน์ซินโดรม คือโรคทางพันธุกรรมที่ไม่มีทางรักษาหายได้ แล้วสาเหตุของโรคดาวน์ซินโดรมคืออะไร ลักษณะทารกที่เป็นดาวน์ซินโดรม อาการเป็นแบบไหน มาหาคำตอบกัน
           โรคดาวน์ซินโดรม เป็นโรคที่ทุกคนคงเคยได้ยินชื่ออยู่แล้ว ที่ผ่านมาพบเด็กจำนวนไม่น้อยป่วยด้วยโรคนี้ และหลายคนต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากตั้งแต่เด็กจนโต เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาหายได้ ทำได้เพียงรักษาไปตามอาการของโรคที่เกิดแทรกซ้อน แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียหมดถ้าหากได้รับการดูแลที่ดีก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ใกล้เคียงคนปกติค่ะ ลองไปทำความรู้จักโรคดาวน์ซินโดรมให้มากขึ้น
 โรคดาวน์ซินโดรม คืออะไร 
          โรคดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome หรือ Down syndrome) หรือที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มอาการดาวน์ คือการเกิดความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด และเป็นโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เนื่องจากสาเหตุของโรคนั้นเกิดขึ้นจากความผิดปกติภายในโครโมโซม โดยชื่อของโรคนั้นตั้งตามชื่อของของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ John Lang don Down ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายอาการของโรคไว้เมื่อปี ค.ศ. 1866 แต่ในปี ค.ศ. 1959 นายแพทย์ Jerome Lejeune นั้นเป็นคนค้นพบว่าสาเหตุของโรคเกิดจากสารพันธุกรรม และปัจจุบันนั้นก็ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคดาวน์ซินโดรมได้ 

 สาเหตุของโรคดาวน์ซินโดรม กับเรื่องโครโมโซม
          ดาวน์ซินโดรมเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่โครโมโซมคู่ที่ 21 เกิดความผิดปกติ ซึ่งในคนปกตินั้นจะมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เพียง 2 แท่ง แต่ในกลุ่มผู้มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นจะมี 3 แท่ง หรือบางรายอาจจะมีอาการมาจากการย้ายที่ของโครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับโครโมโซมคู่ที่ 21 เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจจะมีสาเหตุมาจากการมีโครโมโซมแท่งที่ 46 และ 47 ในคน ๆ เดียว โดยกรณีจะเรียกว่า MOSAIC แต่ก็เป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นโรคดาวน์ซินโดรมส่วนใหญ่นั้นมักจะเกิดจากพ่อแม่ที่มีความผิดปกติ

อาการของโรคดาวน์ซินโดรม
          ผู้ที่เป็นดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีอาการแสดงทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะร่างกายที่แตกต่างจากคนปกติ การพัฒนาการด้านสมอง ลักษณะนิสัยและพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อีกด้วย ลองมาไล่เรียงดู

ลักษณะทางร่างกาย

          ผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีลักษณะทางร่างกายที่ผิดปกติกว่าคนปกติ โดยเมื่อเกิดมานั้นจะมีรูปร่างลักษณะหน้าตาภายนอกที่คล้ายกันทั้งหมด คือมีดวงตาทั้ง 2 ข้างที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย หัวคิ้วทั้ง 2 ข้างหนา ม่านตามีจุดสีขาวเรียกว่า Brush field spots ส่วนของสันจมูกแบน ปากเปิดออก และลิ้นมักจะจุกอยู่ที่ปาก หูมีขนาดเล็ก และหูมีรอยพับมากกว่าปกติ ระยะห่างระหว่างหัวนมใกล้กว่าเด็กทั่วไป มือสั้นและกว้าง เส้นลายมือมักมีเส้นตัดขวางเส้นเดียว แทนที่จะมี 2 เส้น นิ้วก้อยเอียงเข้าหานิ้วนาง นิ้วมืออ่อนสามารถดัดไปด้านหลังได้ มีง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเท้ากว้างกว่าปกติ ศีรษะเล็ก กะโหลกศีรษะด้านหลังแบน มีร่างกายเตี้ยกว่าปกติและส่วนใหญ่มักจะอ้วน

พัฒนาการทางสมอง
          ทางด้านการพัฒนาการของสมอง ในกลุ่มผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรม ในเด็กทารกนั้นจะมีตัวอ่อนนิ่ม เพราะพัฒนาการของกล้ามเนื้อไม่ดี แต่เมื่อเติบโตขึ้นก็จะเป็นปกติ ระดับของสติปัญญาจะอยู่ในขั้นปัญญาอ่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง คือมีไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50 ซึ่งคนปกติจะมีระดับไอคิวตั้งแต่ 70 ขึ้นไป ผู้ที่มีอาการนี้ส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยร่าเริง ยิ้มง่าย สุภาพอ่อนโยน อดทน ยอมคน ไม่แข็งกร้าว อบอุ่น ใจดี ซึ่งนิสัยเหล่านี้ทำให้ผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ดี



โรคดาวน์ซินโดรม โรคทางพันธุกรรมที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจ

โรคดาวน์ซินโดรม
โรคดาวน์ซินโดรมไม่ใช่โรคที่ติดต่อได้หรือน่ารังเกียจ ควรเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          โรคดาวน์ซินโดรม คือโรคทางพันธุกรรมที่ไม่มีทางรักษาหายได้ แล้วสาเหตุของโรคดาวน์ซินโดรมคืออะไร ลักษณะทารกที่เป็นดาวน์ซินโดรม อาการเป็นแบบไหน มาหาคำตอบกัน
           โรคดาวน์ซินโดรม เป็นโรคที่ทุกคนคงเคยได้ยินชื่ออยู่แล้ว ที่ผ่านมาพบเด็กจำนวนไม่น้อยป่วยด้วยโรคนี้ และหลายคนต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากตั้งแต่เด็กจนโต เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาหายได้ ทำได้เพียงรักษาไปตามอาการของโรคที่เกิดแทรกซ้อน แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียหมดถ้าหากได้รับการดูแลที่ดีก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ใกล้เคียงคนปกติค่ะ ลองไปทำความรู้จักโรคดาวน์ซินโดรมให้มากขึ้น
 โรคดาวน์ซินโดรม คืออะไร 
          โรคดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome หรือ Down syndrome) หรือที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มอาการดาวน์ คือการเกิดความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด และเป็นโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เนื่องจากสาเหตุของโรคนั้นเกิดขึ้นจากความผิดปกติภายในโครโมโซม โดยชื่อของโรคนั้นตั้งตามชื่อของของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ John Lang don Down ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายอาการของโรคไว้เมื่อปี ค.ศ. 1866 แต่ในปี ค.ศ. 1959 นายแพทย์ Jerome Lejeune นั้นเป็นคนค้นพบว่าสาเหตุของโรคเกิดจากสารพันธุกรรม และปัจจุบันนั้นก็ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคดาวน์ซินโดรมได้ 

 สาเหตุของโรคดาวน์ซินโดรม กับเรื่องโครโมโซม
          ดาวน์ซินโดรมเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่โครโมโซมคู่ที่ 21 เกิดความผิดปกติ ซึ่งในคนปกตินั้นจะมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เพียง 2 แท่ง แต่ในกลุ่มผู้มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นจะมี 3 แท่ง หรือบางรายอาจจะมีอาการมาจากการย้ายที่ของโครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับโครโมโซมคู่ที่ 21 เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจจะมีสาเหตุมาจากการมีโครโมโซมแท่งที่ 46 และ 47 ในคน ๆ เดียว โดยกรณีจะเรียกว่า MOSAIC แต่ก็เป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นโรคดาวน์ซินโดรมส่วนใหญ่นั้นมักจะเกิดจากพ่อแม่ที่มีความผิดปกติ

อาการของโรคดาวน์ซินโดรม
          ผู้ที่เป็นดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีอาการแสดงทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะร่างกายที่แตกต่างจากคนปกติ การพัฒนาการด้านสมอง ลักษณะนิสัยและพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อีกด้วย ลองมาไล่เรียงดู

ลักษณะทางร่างกาย

          ผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีลักษณะทางร่างกายที่ผิดปกติกว่าคนปกติ โดยเมื่อเกิดมานั้นจะมีรูปร่างลักษณะหน้าตาภายนอกที่คล้ายกันทั้งหมด คือมีดวงตาทั้ง 2 ข้างที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย หัวคิ้วทั้ง 2 ข้างหนา ม่านตามีจุดสีขาวเรียกว่า Brush field spots ส่วนของสันจมูกแบน ปากเปิดออก และลิ้นมักจะจุกอยู่ที่ปาก หูมีขนาดเล็ก และหูมีรอยพับมากกว่าปกติ ระยะห่างระหว่างหัวนมใกล้กว่าเด็กทั่วไป มือสั้นและกว้าง เส้นลายมือมักมีเส้นตัดขวางเส้นเดียว แทนที่จะมี 2 เส้น นิ้วก้อยเอียงเข้าหานิ้วนาง นิ้วมืออ่อนสามารถดัดไปด้านหลังได้ มีง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเท้ากว้างกว่าปกติ ศีรษะเล็ก กะโหลกศีรษะด้านหลังแบน มีร่างกายเตี้ยกว่าปกติและส่วนใหญ่มักจะอ้วน

พัฒนาการทางสมอง
          ทางด้านการพัฒนาการของสมอง ในกลุ่มผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรม ในเด็กทารกนั้นจะมีตัวอ่อนนิ่ม เพราะพัฒนาการของกล้ามเนื้อไม่ดี แต่เมื่อเติบโตขึ้นก็จะเป็นปกติ ระดับของสติปัญญาจะอยู่ในขั้นปัญญาอ่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง คือมีไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50 ซึ่งคนปกติจะมีระดับไอคิวตั้งแต่ 70 ขึ้นไป ผู้ที่มีอาการนี้ส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยร่าเริง ยิ้มง่าย สุภาพอ่อนโยน อดทน ยอมคน ไม่แข็งกร้าว อบอุ่น ใจดี ซึ่งนิสัยเหล่านี้ทำให้ผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ดี

โรคดาวน์ซินโดรม

ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ 
          ผู้ที่มีอาการดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีภาวะแทรกซ้อนและความผิดปกติหลายอย่าง บางอย่างพบเจอตั้งแต่วัยทารก บางอย่างอาจแสดงอาการเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งได้แก่อาการดังนี้

         
 ระบบหัวใจ : ราว 40 - 50% ของเด็กที่เป็นโรคดาวน์ซินโดรม จะมีภาวะหัวใจพิการ โดยที่พบบ่อยที่สุดคือ ผนังกั้นห้องหัวใจระหว่างห้องซ้ายและขวามีรูรั่ว

          ระบบทางเดินอาหาร : ผู้ที่เป็นดาวน์ซินโดรมจะมีหลอดอาหารตัน มีรูเชื่อมระหว่างหลอดอาหารและหลอดลม โดยจะมีอาการตั้งแต่แรกเกิด และอาจจะพบความผิดปกติอื่น ๆ ได้อีก เช่น บริเวณลำไส้ตรงไม่มีเซลล์ประสาทอยู่ ทำให้ไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้

          ระบบฮอร์โมน : ผู้เป็นโรคนี้จะมีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา จะทำให้ระดับสติปัญญาด้อยลง ผู้ป่วยโรคนี้เมื่อโตขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนทั่วไป

          เม็ดเลือด : ผู้ป่วยโรคนี้จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น และส่วนใหญ่มักเกิดในวัยเด็ก แต่จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งชนิดอื่นน้อยกว่าคนปกติ

          ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค : เด็กโรคนี้มักติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่าย เพราะมีภูมิต้านทานน้อย บางรายเกิดการขาดภูมิต้านทำให้ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อ

          ตา : ราว 50% ของผู้ป่วยโรคนี้จะมีปัญหาทางสายตา ส่วนใหญ่จะมีสายตาสั้น สายตาเอียง สายตายาว หรือมีอาการตาเข บางรายอาจจะพบต้อกระจกในตาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตาบอด นอกจากนี้ยังอาจเกิดการอุตตันของท่อน้ำตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบได้อีกด้วย

          หู : ผู้ที่เป็นโรคดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีอาการอักเสบภายในหูชั้นกลางบ่อย ทำให้การได้ยินลดน้อยลง 

          กะโหลกศีรษะและกระดูก : ผู้ป่วยประมาณ 10 - 30% มีข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังส่วนคอข้อที่ 1 กับ ข้อที่ 2 หลวมกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการผิดปกติ แต่จะมีผู้ป่วยจำนวนนึงที่อาจจะมีอาการคอเอียง การเดินผิดปกติ หรือถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ นอกจากนี้ยังสามารถพบอาการข้อสะโพกหลุด และไซนัส ต่าง ๆ ในกะโหลกศีรษะมีขนาดเล็กหรือหายไปได้

          ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ : ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมอาจมีไตที่ผิดรูป อวัยวะเพศเล็ก อัณฑะไม่ลงถุงอยู่ในท้อง ในเพศหญิงจะไม่มีความผิดปกติในเรื่องระบบสืบพันธุ์ สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ในเพศชายนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหมัน

          ผิวหนัง : มีผิวแห้ง ผิวหนังหนา ผิวหนังแข็งเป็นแห่ง ๆ มีโรคด่างขาว รูขุมขนอักเสบ หรืออาการติดเชื้อร่วมด้วย

          ระบบประสาทและสมอง : ผู้ป่วยอาจจะมีโรคลมชัก และเกิดอาการอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เร็วกว่าปกติ คือ 40 ปี ซึ่งในคนปกติมักเริ่มมีอาการของอัลไซเมอร์เมื่ออายุ 70 ปี ผู้ป่วยบางส่วนอาจมีอาการของโรคทางจิตประสาท สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในวัยเด็กนั้นมักจะเป็นโรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก แต่ถ้าในวัยผู้ใหญ่แล้ว มักจะเป็นโรคซึมเศร้าและย้ำคิดย้ำทำ ร่วมด้วย

ปัจจัยเสี่ยงการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม

          ปัจจัยเสี่ยงของการมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมมีเท่ากันทุกคนค่ะ แต่อัตราความเสี่ยงจะสูงหรือต่ำขึ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุมารดาขณะตั้งครรภ์ ประวัติเคยมีลูกเป็นดาวน์ หรือการมีความผิดปกติในโครโมโซมของพ่อแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เป็นต้น หญิงที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุเท่ากับหรือมากกว่า 35 ปี จะมีความเสี่ยงสูงถึง 1 ใน 270 ราย ซึ่งสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่อายุน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หญิงตั้งครรภ์ที่อายุน้อยจะไม่มีโอกาสคลอดลูกเป็นดาวน์ซินโดรม เพราะหญิงที่มีอายุน้อยก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะคลอดลูกเป็นดาวน์ซินโดรมสูงถึง 1 ใน 1,000 ราย

การตรวจดาวน์ซินโดรม 

          โรคดาวน์ซินโดรมสามารถตรวจได้ตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์ โดยวิธีการตรวจก็คือ การเจาะน้ำคร่ำตรวจหาโครโมโซมโดยจะต้องทำการตรวจในช่วง 15-20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์จะต่ำกว่าหรือเกินกว่านี้ไม่ได้ เพราะถ้าต่ำกว่าช่วงที่กำหนด น้ำคร่ำอาจจะน้อยไปไม่พอเพียงที่จะนำมาตรวจ หากมากเกินไปเจาะตรวจแล้วพบความผิดปกติ ทั้งนี้ พ่อแม่จะต้องทำการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อเมื่อทราบว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรม หากปล่อยไว้นานเกินไปอาจจะทำให้การเอาเด็กออกนั้นเป็นไปได้ยาก
 
          นอกจากนี้ยังมีการตรวจอีกอย่างหนึ่งคือ การเจาะเลือดแม่เพื่อหาค่าของแอลฟาฟีโตโปรตีน (alphafetoprotein) ซึ่งเป็นสารที่ทารกสร้างมาจากตับและจะอยู่ในกระแสเลือดของแม่ ซึ่งก็ควรจะตรวจในช่วง 15-20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์เช่นกัน และถ้าหากผลการตรวจออกมาแล้วพบว่าแอลฟาฟีโตโปรตีนนั้นอยู่ในปริมาณต่ำกว่าปกติ ก็อาจจะสามารถบอกได้ว่า ทารกเป็นเป็นโรคดาวน์ซินโดรม หรือมีโครโมโซมที่ผิดปกติ แต่การรักษานี้ก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัด และต้องทำการเจาะน้ำคร่ำตรวจอีกครั้งเพื่อยืนยันผล

          หากในช่วงที่ตั้งครรภ์นั้นไม่ได้ทำการตรวจก่อน ก็สามารถมาตรวจได้หลังจากที่เด็กคลอด โดยแพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายแพทย์หาความผิดปกติของรูปร่างหน้าตาและอวัยวะภายใน ในรายที่สงสัยว่าอาจจะเป็นกลุ่มอาการดาวน์ แพทย์ก็จะทำการเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจดูสารพันธุกรรมต่อไป

การรักษาโรคดาวน์ซินโดรม

          โดยปกติแล้วร้อยละ 85 ของทารกที่เป็นดาวน์ซินโดรมจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึง 1 ปี และจะมีเพียงแค่ ร้อยละ 50 เท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุ 50 ปี โดยสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในช่วงวัยทารก และวัยเด็กมาจากความพิการของหัวใจ ซึ่งขึ้นกับว่าหัวใจพิการรูปแบบไหน มากน้อยแค่ไหน และเมื่อเด็กสามารถมีชีวิตรอดเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ สาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ คือ การที่ร่างกายแก่ก่อนวัย และทำให้มีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าคนปกติ 

          ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาทางป้องกันหรือรักษาโรคดาวน์ซินโดรมได้ จึงทำได้เพียงดูแลรักษาอยากใกล้ชิดซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากพ่อแม่และสังคมรอบข้างร่วมกัน เพื่อให้เด็กที่เป็นโรคนี้สามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด และไม่กลายเป็นปัญหาของสังคมในอนาคต แต่นอกจากจะดูแลอย่างใกล้ชิดแล้วผู้ปกครองควรจะพาเด็กที่มีอาการของโรคนี้ไปตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเด็กอยู่ในวัยที่เจริญพันธุ์ก็ควรที่จะพาเด็กไปทำการคุมกำเนิดป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดการตั้งครรภ์ และพ่อแม่ก็ควรที่จะไปทำการตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม และหาความเสี่ยงที่ลูกคนจะเป็นดาวน์ซินโดรมด้วย เพื่อที่จะได้วางแผนครอบครัวในอนาคตต่อไปได้


โรคดาวน์ซินโดรม



ปัญหาของเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม
          เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรมนั้นนอกจากจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายและการพัฒนาของสมองแล้วนั้น ในกลุ่มเด็กเป็นโรคนี้ก็มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมซึ่งพ่อแม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจให้มากกว่าเดิมเป็นพิเศษ ซึ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องพฤติกรรมได้แก่ การวิ่งหรือเดินไปเรื่อยเปื่อย มีพฤติกรรมต่อต้าน มีวิธีการแสดงออกด้านความรักหรือความชอบที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่นการเข้าไปกอดทักทายคนที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่อาการสมาธิสั้น การย้ำคิดย้ำทำ การเป็นออทิสติก หรือพฤติกรรมอมมือหรือทำเสียงประหลาด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถรักษาและแก้ไขได้ หากผู้ปกครองพบปัญหาเหล่านี้ก็ควรที่จะรีบพาไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ 

พ่อแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกเป็นดาวน์ซินโดรม

          เมื่อพ่อแม่รู้ว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรมแล้วนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือกการยอมรับความจริง พ่อแม่ควรจะทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง และควรจะขอคำปรึกษาจากแพทย์และคอยหมั่นหาความรู้เกี่ยวกับดาวน์ซินโดรมอยู่เสมอ ๆ แล้วควรจะพาลูกที่มีอาการดาวน์ซินโดรมไปตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญไม่ควรจะเลี้ยงลูกให้เขารู้สึกว่าแตกต่างจากคนอื่น ควรจะเลี้ยงและดูแลเขาเหมือนกับเด็กทั่วไป เพื่อที่เด็กจะได้ไม่รู้สึกแตกต่างและกลายเป็นปัญหาของสังคมค่ะ

โรงเรียนเด็กดาวน์ซินโดรมในประเทศไทย

          ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยได้มีการเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีอาการของดาวน์ซินโดรมโดยเฉพาะอยู่มากมาย ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ จะให้การดูแลและสร้างเสริมพัฒนาการของเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรมให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และสามารถจะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้โดยไม่กลายเป็นปัญหาของสังคม

วิธีป้องกันก่อนกำเนิดเด็กดาวน์ซินโดรม

          แม้ว่จะไม่มีวิธีการป้องกันโรคดาวน์ซินโดรม แต่วิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงที่จะคลอดลูกเป็นดาวน์ซินโดรมนั่นก็คือ หลีกเลี่ยงการแต่งงานและตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปี และผู้ที่มีพาหะของดาวน์ซินโดรมหรือเป็นผู้ที่อยู่ในอาการดาวน์นั้นก็ไม่ควรจะแต่งงานหรือตั้งครรภ์อย่างยิ่งเพราะจะยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่จะคลอดลูกที่มีอาการดาวน์ซินโดรมออกมาได้ ทั้งนี้ ถ้าหากผู้ที่มีอาการในกลุ่มดาวน์นั้นคลอดลูก ลูกที่คลอดมาจะมีความเสี่ยงเป็นโรคดาวน์ซินโดรมได้ถึง 50% เลย

          โรคดาวน์ซินโดรมไม่ใช่โรคที่ติดต่อได้หรือน่ารังเกียจ ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจผู้ที่เป็นโรคนี้ เพราะเขาเองก็มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกันกับเรา เราควรที่จะเปิดโอกาสให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข และไม่มองเขาเป็นปัญหาของสังคมนะคะ



ที่มา https://baby.kapook.com/view95267.html

เทคนิคการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง กุ้งเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ตลาดต้องการ

333




กุ้งก้ามแดง หรือกุ้งเครฟิช มีถิ่นกำเนิดที่ ออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ 12 นิ้วอายุเฉลี่ย 4ปี ในธรรมชาติ ถ้าเลี้ยงใส่ตู้กระจก อยู่ได้ 2-3 ปี อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยง 25-28 องศา ถือว่า อากาศและอุณหูภูมิในบ้านเรา กำลังดี
กุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งชนิดแรกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงทดลองเลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร เพราะเป้นกุ้งที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วและมีขนาดใหญ่ ลักษณะเด่นคือ มีขนาดใหญ่และสีของกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่สีที่พบมากที่สุดคือ สีเขียว สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน ซึ่งคนไทยจะเรียกว่า บลู ล็อปเตอร์ บางที่ก็เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามแล้วนำจำหน่ายได้ในราคาสูง
กุ้งชนิดนี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือ แถบข้างของก้ามจะมีสีแดง และ สีส้ม เป็น เอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งแถบสีเหล่านี้ จะพบกับกุ้งเพศผู้เท่านั้น ส่วนเพศเมียจะไม่มีแถบสี กุ้งชนิดนี้เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ไวและภูมต้านทานโรคสูง ปัจจุบันเกษตรนำมาเลี้ยงเป็นกุ้งเนื้อ และเป็นที่ต้องการของตลาด
การเริ่มต้นการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง แบบเลี้ยงเพื่อเศรษฐกิจ จะต้องทำอย่างไรบ้าง
1. การเตรียมน้ำ ต้องเตรียมน้ำ ยกตัวอย่างเลี้ยงในตู้ 24 นิ้ว ใส่น้ำประมาณ 50 ลิตร เติมเกลือแกงไปประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ เปิด ออกซเจนทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง ไม่ต้องใส่น้ำยาลดคลอรีน ก่อนนำกุ้งลงตู้ให้เอาถุงใส่กุ้งลอยน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิให้กับกุ้ง
** กรณีเลี้ยงบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก ใส่น้ำความสูง 30-40 เซนติเมตร เติมเกลือ อัตราน้ำ 1000 ลิตร ต่อ 1 กิโลกรัม ปั๊มออกซิเจน หรือใบพัดปั่นน้ำ ในบ่อทิ้งไว้ 5-6 ชั่วโมง ค่อยนำกุ้งลง แล้วแต่ ขนาดของบ่อ **

666

2.ปรับอุณหภูมิการเลี้ยงไว้ที่ 20-30 องศาเซลเซียส
3.สังเกตการลอกราบของกุ้ง ซึ่งช่วงเวลานี้กุ้งจะบอบบางและอ่อนแอมาก จะสังเกตอย่างไร แบ่งออกเป็นข้อๆได้ตามนี้ครับ
- ปริมาณการกินอาหารน้อยลง
- รอยต่อของลำตัวจะเปิด
- จับดูที่เปลือกหัวจะนุ่มนิ่มแสดงว่าใกล้ลอกคราบ
- แต่ถ้าห้วเปิดแล้วตัวยังแข็งอยู่แสดงว่ายังไม่ลอกคราบ อาจจะเกิดจากการที่กุ้งกินอาหารมากเกินไป ทำให้เปลือกบริเวฯรอยต่อยกขึ้นเหมือนลอกคราบ
4. การถ่ายน้ำในกรณีเลี้ยงตู้ควรถ่ายทุกๆ 7-10 วัน ** ส่วนบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก สูบน้ำเก่าออกเติมน้ำใหม่เข้า ทุก 2 สัปดาห์ ** ไม่ควรเปลี่ยนน้ำทิ้งทั้งหมด จะทำให้กุ้ง น็อคน้ำได้
5.อาหาร สำหรับกุ้งชนิดนี้กินได้ทั้งพืชและสัตว์และอาหารเม็ด ยกตัวอย่างอาหารของกุ้งก้ามใหญ่ เช่น สาหร่ายหางกระรอก แครอท และพืชน้ำอื่นๆ ประเภทเนื้อสัตว์จะเป็นพวก กุ้งฝอยต้ม เนื้อปลาตัวเล็กๆ *หนอนแดง กรณีเลี้ยงในตู้หรือ บ่อพลาสติก*
6.การเพาะพันธุ์ กุ้งก้ามใหญ่ จะเริ่มผสมพันธุ์ที่ขนาดประมาณ 3 นิ้วขึ้นไป ( ขึ้นอยู่กับความสมบูรณื และสายพันธุ์ ) หลังจากผสมแล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาใต้หาง และใช้เวลา 30 วันลูกจะเป็นตัวแล้วจะลงดิน อัตตราการผสม ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัว เมีย 3 ตัว


แนวทางการเลี้ยงแบบสวยงาม
กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า



ที่มา http://www.farmthailand.com/518

โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever)

โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden

{pic-alt} ลักษณะทั่วไป

โกลเด้นฯเป็นสุนัขที่มีขนาดปานกลาง ไม่เทอะทะเก้งก้างจนดูเกะกะ เป็นสุนัขที่มีนิสัยค่อนข้างจะเป็นมิตรกับทุกๆ และสุนัขที่มีความปราดเปรียวและอดทน ลีลาในการย่างก้าวหรือไหวเป็นไปด้วยความนิ่มนวล

{pic-alt} ความเป็นมา

โกลเด้นฯเป็นสุนัขที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขในกลุ่มสแปเนี่ยล ซึ่งเป็นสุนัขที่มีความเชี่ยวชาญทางน้ำเป็นพิเศษ โดยมีขนาดเล็กกว่าสุนัขพันธุ์นิวฟาวน์แลนด์ แต่มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน สันนิษฐานว่าอาจผสมข้ามพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์ไอริชเซทเทอร์ และสุนัขในกลุ่มวอเตอร์สแปเนี่ยล โดยอาจมีสายเลือดของสุนัขพันธุ์บลัดฮาวน์เข้าไปเจือปนอยู่ด้วย

{pic-alt} ลักษณะนิสัย

นิสัยสุภาพ น่ารัก มีเสน่ห์ ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจ และเสียสละรักเจ้าของได้เท่ากับสุนัขพันธุ์ โกลเด้นฯนี้ ลักษณะนิสัยสุนัขพันธุ์นี้ใจดี ชอบอยู่กับคนและสัตว์อื่น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ค่อนข้างติดคนหรืออยากให้เจ้าของสนใจ โกลเด้นฯ เป็นสุนัขที่ฝึกง่าย มันชอบเห่าเมื่อมีคนอยู่หน้าประตูบ้าน แต่มีบ่อยครั้งที่การเห่านั้นเป็นการแสดงการทักทายมิใช่การขู่ Retriever)


{pic-alt}

{pic-alt} การดูแล

โกลเด้นฯ เป็นสุนัขที่มีขนร่วงมาก จำเป็นจะต้องแปรงและหวีขนให้มันสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง เพื่อป้องกันขนพันกัน การแปรงขนบ่อยๆ จะทำให้โกลเด้นฯ ดูสวยได้ ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องเห็บ หมัด การระคายเคืองที่ผิวหนัง ขณะที่ทำการแปรงขน

โกลเด้นฯเป็นสุนัขที่ชอบสังคมและ ไม่ชอบถูกทิ้งให้อยู่ลำพังตัว อย่าปล่อยให้สุนัขออกไปนอกบ้านโดยไม่มีคนไปด้วย ผู้เลี้ยงควรพาสุนัขไปเดินเล่นไกลๆ ทุกวันหรือหาสนามโล่งๆ ให้ได้วิ่งเล่นเก็บลูกบอลหรือว่ายน้ำกับสุนัขตัวอื่น เพื่อผ่อนคลายความเครียดและเพื่อนสุขภาพที่ดี

{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม

ครอบครัวที่มองหาสุนัขที่เต็มไปด้วยความสุภาพและน่ารัก ต้อง โกลเด้นฯ เลยครับ


ที่มา https://www.dogilike.com/breeds/2/

ประวัติ Lamborghini

ใครจะทราบบ้างว่าแท้จริงแล้ว หนึ่งรถสปอร์ตที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถระดับซุปเป อร์คาร์อย่าง "แลมเบอร์กินี" นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจเล็กๆ ของใครคนหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาจนกลายมาเป็นรถสปอร์ ตชื่อก้องโลกในปัจจุบัน ซึ่งใครคนนั้น มีนามว่า "เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี"

เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี คือชื่อของผู้สร้างตำนานบทใหม่ของรถสปอร์ตระดับซุปเป อร์คาร์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2459 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางเหนือของอิตาลี เฟอรุชชิโอให้ความสนใจ ในเรื่องเครื่องยนต์กลไกเป็นอย่างมากตั้งแต่ในวัยเด็ ก เมื่อโตขึ้นได้เข้าเรียนในวิทยาลัย อุตสาหกรรม ที่เมืองโบโลญญ่าหลังจากที่ได้ศึกษาเป็นเวลาหลายปีก็ สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ทางด้านอุตสาหกรรม

เฟอรุชชิโอ เริ่มทำงานในอู่ซ่อมเครื่องยนต์ เมื่อช่วงต้นอายุยี่สิบของเขานั้น สงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้น และเขาได้เข้าร่วมรับใช้ชาติด้วยการทำงานที่ฐานทัพอา กาศอิตาลีที่เมือง Rhodes โดยทำหน้าที่ซ่อมแซมยวดยาน หลังจากที่ สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาถูกบังคับให้ทำงานดังกล่าวด้วยการซ่อมยวดยานของฝ่ ายสัมพันธมิตรต่อไปอีกจนถึงปี พ.ศ. 2489 ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้าน และได้เริ่มต้นซ่อมแซมรถแทรกเตอร์ของอิตาลี ที่ยังคงใช้อะไหล่จากยวดยานของทหาร และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นในการตั้งโรงงานแทรกเตอร์ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในฐานะนักธุรกิจ




เฟอรุชชิโอเป็นคนที่เข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเป็นเพราะว่าเขาให้ความสนใจในเรื่องยานยนต์โดยเฉพ าะประเภทที่มีความเร็วสูง เขาจึงซื้อ เฟอร์รารีหลายคัน 

ในช่วงเวลานั้น การสร้างรถเฟอร์รารี สำหรับถนนปกตินั้นทำการผลิตกันแบบขอไปที เจ้าของรถเฟอร์รารีหลายคนไม่พอใจในรถของ ตนเอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะร้องเรียน เพราะกลัวว่าตนเองอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อรถได้อ ีก และจากสาเหตุของการให้บริการหลังการขาย ที่ย่ำแย่ เนื่องจาก เอนโซ เฟอร์รารี นั้นได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจทั้งหมดของเขาไปที่รายการแข่งรถ ส่วนรถที่ใช้สำหรับขับขี่บนถนนถูกผลิตขึ้นเพื่อนำเงิ นที่ได้ไปพัฒนารถแข่งของเขาเท่านั้น 

ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 60 เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ถอย เฟอร์รารี 250 GT ถึงกระนั้นเขาก็ต้องส่งรถคันดังกล่าวเข้า ซ่อมหลายครั้งและดูเหมือนว่ามันไม่เคยได้รับการซ่อมแ ซมได้อย่างถูกต้องเลย และนี่คือปฐมเหตุในการเริ่มต้น ตำนานของ แลมเบอร์กินี 

ครั้งหนึ่ง เมื่อเฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ได้รับรถเฟอร์รารีของเขากลับมาจากโรงงาน หลังจากส่งไปซ่อมคลัชท์ แต่ดูเหมือนว่า โรงงานนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น เฟอรุชชิโอ จึงไปเยี่ยมเยียน เอนโซ เฟอร์รารี ด้วยตัวของเขาเอง ณ โรงงานของเฟอร์รารี และบอกแก่ เอนโซ เฟอร์รารี ในเรื่องที่เขารู้สึกเกี่ยวกับตัวของเอนโซและรถอันแส นย่ำแย่ 






ในมุมหนึ่งของโรงงานแทรกเตอร์ รถแลมเบอร์กินีถูกสร้างขึ้น ก่อนที่โรงงานสร้างรถยนต์แห่งใหม่จะ พร้อมเสร็จ เขาใช้เวลาทุกนาทีในการพัฒนารถของเขาด้วยตนเอง เฟอรุชชิโอ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกจ้าง เพราะว่า เขาต้องการมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้าน กับการพัฒนารถคันนี้ และบ่อยครั้งที่อยู่เป็น คนสุดท้ายเพื่อคอยปิดสวิชท์ไฟในโรงงานปลายเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2506 แลมเบอร์กินี 350 GTV คันแรกก็เสร็จสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม รถดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงรถต้นแบบ และ ผลิตภัณฑ์คันแรกนั้นยังมาไม่ถึงจนกระทั่งเดือนมีนาคม 2507 ด้วย 350 GT ที่ได้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกว่าเฟอร์รารีนั้นสามารถที่ จะถูกปราบลงได้เช่นกัน และนี้คือเรื่องราวทั้งหมดในการเริ่มต้นจ้าวแห่ง ตำนานของกระทิงเปลี่ยว


ข้อมูลจาก บ.นิชคาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ แลมเบอร์กินี อย่างเป็นทางการในเมืองไทย
cradit http://www.hydrocarbon101.com/forums/showthread.php?t=1324


ลัมโบร์กินี LAMBORGHINE
ลัมโปร์กินี เป็นชื่อของรถสปอร์ทที่ปรากฎตัวออกสู่สายตาโลกเมื่อประมาณสามทศวรรษที่ผ่าน มานี้เอง แต่ชื่อเสียงและกิตติคุณของรถสปอร์ทพันธ์อิตาลียี่ห้อนี้ กลับโด่งดังไม่แพ้รถสปอร์ทเก่าแก่อย่าง อัลฟา-โรเมโอ เฟร์รารี หรือ มาเซราตีนั่นเลย สัญลักษณ์ของ ลัมโบร์กินี เป็นรูปวัวกระทิง บรรจุอยู่ในโล่ โดยมีแถบชื่อ LAMBORGHINI พาดทับอยู่ด้านบน การที่ลัมโบร์กินีใช้รูปวัวกระทิงเป็นสัญสักษณ์ก็เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เป็น สัญลักษณ์ปีเกิดของผู้ก่อตั้งกิจการนั่นเอง เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINE) ชาวอิตาลีผู้ก่อร่างสร้างตัวจากเงินในกระเป๋าไม่กี่หมื่นลีร์ จนกลายเป็นนักธุรกิจระดับ “มัลติมิลเลียนแนร์” ผู้มีกิจการใหญ่โตในวงการอุต-สาหกรรมรถแทรคเตอร์และเครื่องปรับอากาศของ เมืองมะกะโลนี ได้ควักเงินทุนก้อนหนึ่งก่อตั้งบริษัท ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี เอศพีเอ (AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.) ขึ้นเมื่อปี 1962 โดยที่จุดมุ่งหมายของบริษัทเกิดใหม่นี้ก็คือ ผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดออกขายแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่างเฟร์รารี ที่เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินีเคยเป็นลูกค้ามาก่อน เล่าขานสืบต่อกันมาว่า มูลเหตุที่ทำให้ มร.ลัมโบร์กินี คิดจะผลิตรถขึ้นเองก็เพราะไม่พอใจในบริการที่ได้รับจากเฟร์ารรีนั่นเอง และข้อได้เปรียบของลัมโบร์กินีก็คือ ก่อนที่จะหันมาเอาดีกับการผลิตรถสปอร์ทระดับ”ซูเพอร์คาร์” ลัมโบร์กินีมีโรงงานผลิตรถแทรคเตอร์อยู่แล้ว

ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ อาจต้องใช้เวลาแรมปีในการสร้างสมเกียรติยศชื่อเสียง แต่สำหรับลัมโบร์กินีที่เริ่มต้นกิจการด้วยคำขวัญ “มาหาลัมโบร์กินี ถ้าต้องการรถที่ดีที่สุดในโลก” ความสำเร็จเกิดขึ้นในเวลาชั่วคืน รถสปอร์ทแทบทุกรุ่นที่ลัมโบร์กินีผลิตออกสู่ตลาด ได้รับความนิยมจากนักเลงรถสปอร์ท “รายได้สูง รสนิยมสูง” จนผลิตขายแทบไม่ทัน โดยเฉพาะรถ ลัมโบร์กินี มีอูรา (LAMBORGHINI MIURA) ซึ่งปรากฎตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมรถยนต์ตูรินเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1965 และออกจำหน่ายสองปีหลังจากนั้น นับเป็นรถที่สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้แก่ผู้ผลิตรถสปอร์ทรายนี้ยิ่งกว่ารถรุ่นอื่น ๆ ลัมโบร์กินีใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับเจ้ายุทธจักรรถสปอร์ท อย่างเฟร์รารีได้สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน 1981 ลัมโบร์กินีเปลี่ยนชื่อกิจการเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ นูโอวา ออโตโมบิสี เฟร์รุขขิโอ ลัมโบร์กินี เอสพีเอ (NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.)

ปัญหาด้านการเงินบีบบังคับให้ผู้ผลิตรถสปอร์รายนี้ต้องเปลี่ยนมือเจ้าของ กิจการหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคื่อในปี 1987 ลัมโบร์กินีก็มีสภาพเป็นปลาเล็กที่ถูกกลืนกินโดยปาใหญ่ โดยยอมขายกิจการทั้งหมดให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา คือ ไครสเลอร์ คอร์พอเรชัน ในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมาลัมโบร์กินีผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายในตลาดรวมทั้ง สิ้น 13 รุ่น รุ่นที่ผลิตมากที่สุด คือ ลัมโบร์กินี คูนทาช (LAMBORGHINI COUNTACH) รถสปอร์ทระดับ “ซูเปอร์คาร์” ที่นักเลงรถทั่วโลกรู้จักกันดี ปัจจุบัน ลัมโบร์กินีมีกำลังผลิตประมาณ 400 คันต่อปี รถที่ผลิตจำหน่ายในขณะนี้มีอยุ่เพียงรุ่นเดียว คือ ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINI BIABLO) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดารถตลาดที่เร็วที่สุดในปัจจุบันเพราะสามารถวิ่งได้เร็ว กว่า 325 กม./ชม.นั้นเทียว
ชื่อบริษัท: นูโอวา ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี
NUOVA AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1962
สำนักงานใหญ่: VIA MODENA 12, 40019 SANT’ AGATA
BOLOGNESE, BOLOGNA, ITALY
เว็บไซต์: www.lamborghini.com

รถรุ่นสำคัญ:
ลัมโบร์กินี 350 จีที (1963)
ลัมโบร์กินี 400 จีที (1966)
ลัมโบร์กินี มิอูรา (1967)
ลัมโบร์กินี เอสปาดา (1968)
ลัมโบร์กินี ไอส์เบโร (1968)
ลัมโบร์กินี ฮารามา (1970)
ลัมโบร์กินี อีร์ราโก (1971)
ลัมโบร์กินี คูนทาช (1974)
ลัมโบร์กินี คูนทาช เอส (1978)
ลัมโบร์กินี จัลปา (1982)
ลัมโบร์กินี คูนทาช 500 ควาตโดรวาลโวเล (1985)
ลัมโบร์กินี คูนทาช ทเวนติ-ฟิฟธ์
แอนนีเวอร์ซารี (1988)
ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (1990)
ลัมโบร์กินี ดิอาบโล (LAMBORGHINE DIABLO) 




ที่มา https://sites.google.com/site/alleverythingpiece/prawati-lamborghini


วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติเขาคิชฌกูฏจันทบุรี เปิดตำนานรอยพระพุทธบาท



เขาคิชกุฏจันทบุรี

ที่มาที่ไปของชื่อเขาคิชฌกูฏนั้น ในตำนานศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่า เขาคิชฌกูฎอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธเป็นยอดเขาที่มีแนวเขาล้อมโดยรอบ และเคยเป็นสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในอดีต เป็นความดำริของพระครูธรรมสรคุณซึ่งเป็นกรรมการและเป็นหลักในการพัฒนาพระบาทพลวงตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ได้เสนอใช้ชื่อ พระบาทเขาคิชฌกูฎ (พลวง) เหตุผลเพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่พุทธศาสนาเจริญกว่าเมืองไหนๆ แม้กระทั่งประเทศอินเดีย
โดยสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงและบนยอดเขามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ คือ รอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตร ที่ตั้งข้างรอยพระพุทธบาท อยู่ในลักษณะคล้ายลอยอยู่ริมลานพระพุทธบาทฝั่งตรงข้ามหินลูกบาตรมีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้ และในหินก้อนนี้ ตรงข้ามกันรอยพระหัตถ์ มีรูปรอยเท้าใหญ่ (รอยเท้าพญามาร) ใต้พระบาทมีถ้ำตาฤาษี
จึงน่าจะใช้ชื่อนี้เป็นที่ระลึกถึงพระบรมศาสดา ในทุกๆ ปีจะมีพิธีเปิดและพิธีปิดการขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ พระครูธรรมสรคุณ ยังได้สอนว่า “เท้าของพระพุทธองค์ แม้ประดิษฐานอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่น เคารพกราบไหว้ด้วยใจ อธิษฐานแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จแก่ผู้นั้นทุกคนและเป็นสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป”

แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ปรารถนาสิ่งใดที่ดีที่ชอบขอได้ตามความพอใจ กลับไปจะมีแต่ความปลอดภัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเทพยดาที่รักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ จะอำนวยอวยพรให้ท่านได้รับแต่ความสุขตามสมบูรณ์พูลผล ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป ซึ่งผู้อยากจะขึ้นไปสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขานั้นจะต้องมีจิตศรัทธาที่แรงกล้า เนื่องจากต้องเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาอีกราว 3 กม. ท่ามกลางผู้คนที่มีศรัทธาเดียวกันมากมายที่เบียดเสียด เพราะการจะขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี หรือช่วงช่วงประมาณปลายเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม
ซึ่งประเพณีสักการะรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏในปีนี้ 2560 จะเริ่มวันที่ 28 มกราคม จนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2560 โดยจะมีพิธีบวงสรวงเปิดงานในวันที่ 26 ม.ค. 2560 และ บวงสรวงปิดงานวันที่ 28 มี.ค. 2560
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพุทธศาสนิกชนมากมายจากหลายที่ต่างถิ่น จะพร้อมใจกันมาสักการบูชาแผ่นหินซึ่งเชื่อว่าประทับรอยพระพุทธบาทไว้ จะได้อานิสงส์แรงกล้า เปรียบได้กับการได้เข้าเฝ้าองค์พระศาสดาถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ในปัจจุบันได้มีการจัดเดินป่าขึ้นยอดเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปสักการบูชารอยพระพุทธบาทจนกลายเป็นงานประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมานาน โดยมีความเชื่อว่าจะได้บุญสูง และเป็นการฝึกจิตใจให้มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก…ในอดีตจะเป็นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขา แต่ในปัจจุบันมีรถบริการให้ประชาชน ได้เดินทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น


ที่มาhttp://zazana.com/1879